วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บทเรียนออนไลน์ รายวิชาศิลปะ

1. ความหมายของศิลปะ

ความหมายของศิลปะ
ศิลปะมีความหมายกว้างขวางและยากที่จะนิยาม หรือกำหนดไว้ตายตัวเนื่องจากมีลักษณะการแสดงออกที่เป็นอิสระ 
 สามารถที่จะสร้างสรรค์
และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็พอจะรวบรวมความหมายที่นักปราชญ์ หรือผู้รู้ได้เสนอความคิดเห็นไว้ ดังนี้
1. ตอลสตอย นักปราชญ์ชาวรัสเซีย ให้ความเห็นไว้ว่า ศิลปะ คือ การถ่ายทอดความรู้สึก เป็นวิธีการสื่อสารความรู้สึก
ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
2. อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวว่า “ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์ถ่ายทอดจากธรรมชาติ
3. ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้ความหมายของศิลปะว่า “งานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ ซึงต้องใช้ความพยายามด้วยมือ
และความคิด
มนุษย์สร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อความชื่นชม สนองความต้องการด้านอารมณ์และจิตใจ ผ่านประสาทสัมผัส 3 ด้าน ได้แก่
 ศิลปะที่มองเห็น เรียกว่า ทัศนศิลป์ศิลปะที่แสดงออกทางเสียง เรียกว่า โสตศิลป์ หรือ ดนตรี และศิลปะที่แสดงออกทางลีลา
การเคลื่อนไหวเรียกว่า นาฎศิลป์หรือการละคร
สำหรับศิลปะที่มองเห็น หรือ ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็นศิลปะที่สามารถสัมผัสรับรู้ ชื่นชมทางสายตา และสัมผัสจับต้องได้ 
 กินระวางเนื้อที่ในอากาศ แบ่งออกเป็นประเภท ได้แก่
1. จิตรกรรม (Painting) หมายถึง การวาดภาพและระบายสี หรือการแสดงออกบนพื้นระนาบ 2 มิติ
2. ประติมากรรม (Sculpture) หมายถึง การปั้น การสลัก หรือการแสดงออกเป็นผลงาน 3 มิติ
3. สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ









                                                                           



จิตรกรรม (Painting)
          จิตรกรรมมีหลายประเภทและเรียกชื่อต่างๆ กัน โดยพิจารณาจากวัสดุ เรื่องราว และตำแหน่งติดตั้ง 
การเรียกตามชื่อวัสดุ ได้แก่ จิตรกรรมสีน้ำ จิตรกรรรมสีน้ำมัน เป็นต้น
การเรียกชื่อตามเรื่องราว ได้แก่ จิตรกรรมภาพคน จิตรกรรมภาพทิวทัศน์ เป็นต้น
การเรียกชื่อตามตำแหน่งติดตั้ง ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมข้างถนน เป็นต้น
จิตรกรรมอิงประวัติศาสตร์





จมื่นไวยวรนารถเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อ เทคนิคสีน้ำมันขนาด 120x200 ซ.ม. ผลงานของ วิทูรย์ โสแก้ว

จิตรกรรมสีน้ำมัน







ตลาดน้ำ ชีวิตคนที่อาศัยในคลอง ขนาด 14x20 นิ้ว ผลงานของวิทูรย์ โสแก้ว

จุดมุ่งหมายของจิตรกรรม
จุดมุ่งหมายของจิตรกรรมอาจแบ่งได้เป็นประเด็นใหญ่ๆ คือ
1. จุดมุ่งหมายของศิลปินผู้สร้าง
2. จุดมุ่งหมายของจิตรกรรมเองโดยตรง
จุดมุ่งหมายของศิลปินผู้สร้างนั้น ได้แก่ เป้าหมายที่จิตรกรต้องการให้จิตรกรรมสนองผลประโยชน์ทางด้าน
ใดด้านหนึ่ง เช่น บรรยายด้านความเชื่อทางศาสนา บรรยายเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ และบรรยาย
ประวัติความเป็นมาของมนุษย์ ซึ่งลักษณะรูปแบบก็มักจะคล้ายตามความต้องการของผู้อุปการะศิลปิน 
 หรือพระมหากษัตริย์โดยตรง นอกจากนี้ยังสนองผลประโยชน์ทางด้านความคิดของศิลปินโดยตรง
เช่น ใช้จิตรกรรมเป็นสื่อเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของความเชื่อ ความศรัทธา ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ตกแต่งฝาผนัง
โบสถ์ วิหารเป็นต้น หรือเพื่อเป็นแนวทางในการสั่งสอนคนรุ่นหลัง
สำหรับจุดมุ่งหมายของจิตรกรรมโดยตรง มีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
1. เพื่อบันทึกรูปแบบ (Recorded image)
2. เพื่อบันทึกความรู้สึกของศิลปิน (Recorded sensation)


ประติมากรรม (Sculpture)
       เราทราบมาแล้วว่าสิ่งที่ล้อมรอบตัวเรามีรูปทรงต่างๆ กันและมีลักษณะเป็นสามมิติ ดังนั้นเมื่อใดที่มนุษย์สนใจ
ที่จะเลียนแบบรูปทรงสามมิตินั้นโดยใช้วัสดุที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงได้เช่น ดินเหนียว ถ่ายทอดรูปทรงนั้นๆเรา
ก็เรียกผลงานว่า ประติมากรรม และผู้ทำงานนี้ก็ถูกเรียกว่า ประติมากร 
       คำว่า ประติมากรรม หมายถึง รูปของสิ่งต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นสามมิติ อาจเป็นรูปคน สัตว์ สิ่งของ
 แต่ถ้าเป็นรูปเคารพในศาสนา เช่น พระพุทธรูป พระเจ้า เป็นต้น เรียกว่า ปฏิมากรรม 
และผู้ทำก็ถูกเรียกว่า ปฏิมากร
วิธีการทำประติมากรรม
ประติมากรรมมีวิธีการทำอยู่ 3 ประการ คือ
1. การเพิ่มวัสดุลงในบริเวณหรือแกนที่สร้างขึ้น โดยให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ ซึ่งได้แก่ การปั้น
2. การสกัดเอาส่วนที่เห็นว่าไม่ต้องการออก จนเหลือเฉพาะรูปทรงที่เห็นว่าเหมาะสมเท่านั้น ซึ่งได้แก่ 
การแกะสลัก
3. การผสมผสานกันทั้งขบวนการที่ 1 และที่ 2 ได้แก่ การเพิ่มเข้าและการแกะสลักออก จนได้รูปทรงของ
ประติมากรรมตามที่ต้องการ
รูปทรงของประติมากรรม
ประติมากรรมมีรูปทรงเป็นลักษณะสามมิติ และในลักษณะสามมิตินั้นยังสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท
1. ประเภทลอยตัว (Round Relief)
           มีลักษณะตั้งได้ สามารถมองได้รอบด้าน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังประติมากรรมประเภทลอยตัวนี้
 บางทีก็สามารถตั้งได้ด้วยตัวของมันเอง บางชนิดก็ต้องมีฐานรองรับซึ่งผู้สร้างที่ใช้ฐานรองรับจะต้องคำนึงถึง
ความเหมาะสมกลมกลืนของฐานด้วย บางทีก็ใช้บริเวณฐานเป็นที่จารึกคุณงามความดีของรูปปั้นนั้น เช่น
 รูปปั้นคนเหมือน หรือรูปอนุสาวรีย์เป็นต้น







2. ประเภทนูนสูง (High Relief)
           มีลักษณะสูงขึ้นมาจากพื้น โดยที่มองเห็นได้ 3 ด้าน ด้านหลังมองไม่เห็น สำหรับความสูงต่ำมักจะ
มีลักษณะใกล้เคียงรูปแบบจริง เช่น รูปปั้นประกอบบริเวณฐานของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น









3. ประเภทนูนต่ำ (Bas Relief)
           มีลักษณะคล้ายกับนูนสูง ผิดกันแต่ว่าความสูงต่ำ ได้ย่นย่อลงให้กลมกลืนกับพื้นหลัง เช่น 
รูปบนเหรียญต่างๆ เป็นต้น







รูปปั้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผลงานประติมากรรมนูนต่ำ ของบุญพาต ฆังคะมะโน

ประติมากรรมที่มีลักษณะสูงต่ำทั้ง 3 ประเภท มีความสำคัญและการนำไปใช้เพื่อความเหมาะสมต่างๆ กัน
 ซึ่งพอประมวลได้ดังต่อไปนี้
1. เพื่อเป็นการจำลองคนที่เราเคารพนับถือให้มีรูปแบบหลงเหลือเพื่อเตือนให้ระลึกถึง หรือเพื่อเคารพบูชา
2. เพื่อเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมให้เป็นรูปทรงปรากฎเป็นหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์
3. เพื่อเป็นการปลุกเร้าให้ผู้พบเห็นตระหนักในความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ความสามัคคี และความเป็น
ระเบียบเรียบร้อยของสังคม
4. เพื่อเป็นการแสดงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ
ความเป็นมาของประติมากรรม
           ในอดีตรูปแบบประติมากรรมบางทีก็นำไปใช้เป็นสื่อสั่งสอนกัน เช่น รูปประติมากรรม 
วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ ซึ่งจะสอนให้คนมองเห็นความสำคัญในอภินิหารแห่งความอุดมสมบูรณ์ 
 ความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การขยายเผ่าพันธุ์ หรือประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพของพระเจ้า 
หรือพระพุทธรูปประติมากรรมเหล่านี้ผู้สร้างพยายามบรรจงตกแต่งให้เกินสภาพความเป็นจริง
ของมนุษย์ด้วยเหตุว่าหากสร้างให้เหมือนมนุษย์แล้ว มนุษย์ด้วยกันจะไม่เคารพ แต่ในสมัยกรีก
กลับมีความเชื่อว่าการถ่ายทอดรูปแบบประติมากรรม ให้เป็นเทพเจ้าที่เคารพนั้น ควรจะเริ่มจากคนจริง 
และให้เหมือนจริงมากที่สุด เพราะรูปคนจริงๆ นั้นงดงามกว่ารูปเทพเจ้าที่คนไม่เคยเห็น 
 ดังนั้นรูปประติมากรรมของกรีก จึงมีลักษณะของคนจริงมากที่สุด อันแสดงสัดส่วน ทรวดทรงกล้ามเนื้อ
อย่างงดงาม
           ประติมากรรมโลหะลอยตัว สตรีในชุดผ้านุ่งที่บางพลิ้ว แสดงเรื่องราวในเทพนิยาย รูปประติมากรรม
บางสมัยก็สะท้อนความคิดของศิลปินที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในสมัยกอทิกระบบเศรษฐกิจทั้งหลายอยู่
ในอำนาจของพระและขุนนางชั้นสูงซึ่งผู้อยู่ในตำแหน่งนี้ มักจะอยู่ดีกินดี อ้วนอุ้ยอ้าย ดังนั้น ประติมากรจึง
ปั้นรูปเคารพมีลักษณะตรงกันข้าม คือ รูปเคารพที่มีลักษณะผอม เพราะมีความเชื่อว่าคนอ้วนมาก คือคน
มีบาปมาก และเอาเปรียบผู้อื่นจนมีฐานะดี
           รูปลักษณะประติมากรรมแบบกรีก แสดงถึงความอ่อนช้อย สวยงามด้วยลีลาของเส้นและรูปทรง 
ในสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความคิดเกี่ยวกับประติมากรรม นอกจากจะเน้นรูปแบบ
ที่มนุษย์ด้วยกันมองเห็นแล้ว ยังเพิ่มลักษณะพื้นผิวของประติมากรรม รวมทั้งคำนึงถึงฐานของประติมากรรม
ในลักษณะที่เรียบง่าย บางตอนก็อาจปล่อยรูปทรงของวัสดุนั้นไว้เฉยๆ
           วิวัฒนาการของประติมากรรมที่น่าสนใจยิ่งในศิลปะสมัยใหม่ก็คือ การเปิดรูปทรงให้กลวง เพื่อให้เห็น
ความผสมผสานของรูปทรงภายนอกและรูปทรงภายใน ประติมากรที่ริเริ่มในสมัยนี้คือ ศิลปินชาวอังกฤษ
ชื่อ เฮนรี่ มัวร์ มัวร์ได้เจาะรูปปั้นให้กลวงและลดรายละเอียด แสดงรูปแบบเรียบง่าย โดยรักษาคุณสมบัติ
ของวัสดุไว้ให้มองเห็นอย่างชัดเจน และเรื่องวัสดุนั้น มัวร์ก็สืบทอดการใช้วัสดุจาก ไมเคิล แองเจลโล 
กล่าวคือ ใช้หินจากภูเขาที่ไมเคิล แองเจลโล เคยนำมาสร้างผลงาน





พีเอต้ารูปแกะสลักหินอ่อน ฝีมือของไมเคิล แองเจลโล ประติมากรชาวอิตาลี เป็นงานประติมากรรมเหมือนจริง
ที่แสดงสัดส่วนกล้ามเนื้อและรอยยับย่นของเสื้อผ้าได้อย่างงดงามราวกับของจริง

ปริมาณของประติมากรรม
           ประติมากรรมนั้น หากผู้สร้างต้องการจะเพิ่มจำนวนปริมาณตามความต้องการของสังคม เขาก็มักจะ
ใช้วิธีหล่อโดยสร้างรูปที่ต้องการนั้นให้เป็นแม่พิมพ์ หรือรูปแม่แบบเสียก่อนแล้วจึงทำพิมพ์จากรูปแม่แบบนั้น
เพื่อหล่อต่อไป การหล่อมีวิธีทำพิมพ์ 2 วิธี คือ
1. การทำพิมพ์ทุบ พิมพ์ทุบเป็นแม่พิมพ์ชั่วคราว เมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว สามารถใช้หล่อได้ เพียงรูปเดียวเท่านั้น 
เพราะเมื่อจะนำแม่พิมพ์ออก หลังจากทำการหล่อรูปแล้วนั้น ต้องทำการสกัดแม่พิมพ์ให้แตกออก เหลือเฉพาะ
ส่วนที่เป็นรูปหล่อเท่านั้น แม่พิมพ์ทุบนี้ใช้สำหรับการหล่องานปั้นที่ทำด้วยวัสดุอ่อน เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน
 ขี้ผึ้ง เท่านั้น
2. การทำพิมพ์ชิ้น ใช้สำหรับการหล่องานปั้นที่มีลักษณะรูปนูนที่มีแง่มุมโค้งเว้ามาก หรือรูปที่ต้องการหล่อออกมา
เหมือนรูปต้นแบบหลายๆ รูป การทำพิมพ์ชิ้นไม่นิยมทำจากรูปต้นแบบที่เป็นดินเหนียว ดินน้ำมัน หรือขี้ผึ้ง
 แต่นิยมทำจากรูปต้นแบบที่มีเนื้อวัสดุแข็งดังนั้น ถ้าจะทำแม่พิมพ์ชิ้น ควรหล่อรูปจากแม่พิมพ์ทุบเสียก่อน 
 เมื่อได้รูปแบบเป็นวัสดุที่ต้องการแล้วจึงแบ่งพิมพ์เป็นชั้น การแบ่งพิมพ์ประติมากรจะรู้ว่าส่วนไหนยื่นโปน
ออกมา ก็จะต้องแบ่งหลายชิ้น หากมีแง่มุมที่ถอดพิมพ์ยากก็จะแบ่งหลายๆ ชิ้น และควรถอดพิมพ์ตามลำดับ
ก่อนหลัง มิฉะนั้นส่วนยื่นโปนออกมาจะชำรุดได้
           สรุปได้ว่า ประติมากรรมเป็นผลงานรูปทรงที่มนุษย์สร้างขึ้น มีลักษณะ 3 มิติ โดย
 มีกระบวนการทำ 3 ประการ คือ การเพิ่มการสลักออก และการผสมทั้งเพิ่มและสลัก รูปแบบของประติมากรรม
ที่เกิดจากกระบวนการเหล่านี้มี 3 แบบเช่นกัน คือรูปแบบลอยตัว รูปแบบนูนสูง และรูปแบบนูนต่ำ รูปแบบ
ทั้งหลายนี้ศิลปินจะเลือกทำตามความเหมาะสมและประโยชน์ใช้สอยที่ตนและสังคมต้องการ
      





ประติมากรรมกึ่งนามธรรมถ่ายทอดชีวิตพ่อแม่ลูก
ผลงานของเฮนรี่ มัวร์







งานประติมากรรมแบบนามธรรม ผลงานของ มอน มัดจิแมน
ประติมากรชาวอินโดนิเซีย ในงานแสดงประติมากรรมอาเซียน

สถาปัตยกรรม (Architecture)

          ในบรรดารูปแบบศิลปะที่มองเห็นที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นสถาปัตยกรรมมีรูปแบบใหญ่ที่สุด
 และเป็นแหล่งรวมของศิลปะที่มองเห็นเกือบทุกชนิด ตัวอย่างเช่น ในโบสถ์ ลักษณะส่วนประกอบของเสา 
ผนัง เพดานหน้าต่าง หลังคา พื้น ตลอดจนผังบริเวณและสวน สามารถที่จะสอดแทรกรูปแบบศิลปะที่มองเห็น
แขนงจิตรกรรมและประติมากรรมผสมผสานเข้ากันได้อย่างดี ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สถาปัตยกรรมคือ สถานที่
รวมศิลปกรรมเกือบทุกประเภท สถาปัตยกรรมมีความหมายต่างๆกัน อาจหมายถึงเทคโนโลยีของการก่อสร้าง 
หรือศาสตร์ของการก่อสร้างที่สนองความต้องการทางด้านร่างกายของมนุษย์ และความต้องการด้านความเชื่อ ใน
ที่นี้จะนิยามความหมายของสถาปัตยกรรมใหม่คือ การกำหนดผัง บริเวณว่างเพื่อประโยชน์ใช้สอย 
ซึ่งมีรูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของสังคมนั้นๆ เมื่อกล่าวถึงเอกลักษณ์ก็หมายถึงลักษณะเด่น
ของรูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นๆ ซึ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้ว่าเป็นของสังคมใด
 เช่น สถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับโบสถ์ วิหารของไทย มักจะแสดงเอกลักษณ์ที่หลังคาซ้อนและจะซ้อนกัน
ไม่มากนักกล่าวคือ ไม่เกิน ชั้น ซึ่งจะต่างกับของจีนที่แสดงการซ้ำซ้อนของหลังคาเกิน ชั้น
ความวิจิตรอลังการของสถาปัตยกรรมไทย พระอุโบสถ วัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎธานี
สถาปัตยกรรมไทยที่แสดงเอกลักษณ์หลังคาซ้อนกันไม่เกิน ชั้น


     เรื่องเอกลักษณ์นี้ในสมัยกรีกโบราณมีเอกลักษณ์ของบัวหัวเสา เช่น แบบดอริก (Doric) 
แบบไอโอนิก (Ionic) และแบบโครินเธียน (Corinthian) เป็นต้น สำหรับผังบริเวณก็มักจะใช้
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นแบบแผนสำคัญ โดยมีชื่อเรียกว่า Golden Mean Rectangle ซึ่งมีด้านกว้าง
ประมาณสามส่วนและด้านยาวประมาณห้าส่วน หรือเอกลักษณ์ของเจดีย์ในสมัยรัตนโกสินทร์
ที่พบเห็นในวัด ก็มักจะอยู่ในทรวดทรงจอมแห นอกจากนี้เมื่อเราเห็นเจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆัง 
ก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของรูปแบบสมัยอยุธยา เป็นต้น อย่างไรดี เรื่องสถาปัตยกรรมที่แสดงถึง
เอกลักษณ์ของสังคมนี้ปรากฎเด่นชัดมากในสถาปัตยกรรมทางศาสนา แต่ในสังคมปัจจุบันร่วมสมัยมาก 
กล่าวถึง คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย และมีรูปทรงเรียบง่าย หรือรูปทรงที่มีลักษณะทึบตันของสถาปัตยกรรม
ดังจะเห็นได้จากการก่อสร้างอาคารของธนาคารเกือบทุกแห่งในประเทศไทยซึ่งมีลักษณะรูปแบบที่ร่วมสมัยมาก
เป็นต้น
หัวเสาแบบโครินเธียน หัวเสาสถาปัตยกรรมกรีกให้อิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมในยุคต่อมา
แพร่หลายทั้งในยุโรป อเมริกาและเอเชีย


โครงสร้างของสถาปัตยกรรม
           เราทราบแล้วว่า สถาปัตยกรรมหมายถึงการกำหนดผังบริเวณว่างเพื่อประโยชน์ใช้สอย ดังนั้น 
ความสำคัญประการแรกก็คือโครงสร้างของสถาปัตยกรรมนั้นๆ โครงสร้างของสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด่น คือ
1. โครงสร้างแบบวางพาด ถือได้ว่าเป็นโครงสร้างดั้งเดิม กล่าวคือ มีเสาและมีคานพาด ตอนบน ซึ่งจะเป็นฐาน
ของหลังคาโครงสร้างแบบนี้จะใช้หินเป็นคานพาด ซึ่งหินที่เป็นคานพาดนั้นมีความยาวจำกัด ดังนั้นโครงสร้าง
แบบนี้จึงต้องมีเสามาก
2. โครงสร้างแบบยึดโยง ส่วนมากใช้กับคอนกรีต กล่าวคือ ใช้เหล็กเป็นโครงสำหรับหล่อ คอนกรีต มีคานและ
ส่วนประกอบต่างๆที่ต้องยึดกันเพื่อให้คอนกรีตมีความแข็งแรงทนทาน
3. โครงสร้างแบบห้อยหรือแขวน เป็นโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับวัสดุบางชนิด เช่น การใช้ เหล็กสร้างสะ
พานบางแห่งในต่างประเทศ เป็นต้น โดยใช้เหล็กเป็นตัวเชื่อมโยงกับเสาของสะพาน ในการออกแบบโครงสร้าง
 ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงวัสดุที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้าง คุณสมบัติของวัสดุ ตลอดจนแรงต่างๆ ที่จะกระทำ
ต่อโครงสร้างนั้นๆ เช่น แรงลม แรงสั่นสะเทือนเป็นต้น และผู้ออกแบบมักจะคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน 
เพื่อความปลอดภัยของโครงสร้างนั้นๆ และการรับน้ำหนักของโครงสร้างนั้นๆ ด้วย
ประเภทของสถาปัตยกรรม
           ถ้าเราพิจารณาสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งในปัจจุบันและอดีต เราอาจแบ่งได้ ประเภท คือ
1. ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้ ได้แก่ เจดีย์ สถูป อนุสาวรีย์ สถาปัตยกรรมประเภทนี้ สร้างขึ้นเพื่อ
สนองความต้องการด้านความเชื่อของมนุษย์ และเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาเป็นส่วนมาก

2. ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยได้ ได้แก่ อาคาร บ้านเรือน อาคารสงเคราะห์ สถาปัตยกรรมเหล่านี้ นอกจาก

จะคำนึงถึงบริเวณว่างภายในที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์แล้วยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น การจัดสวน 
การจัดวางผัง การแบ่งบริเวณ รวมถึงการตัดถนนหนทางด้วย

          สำหรับในประเทศไทยอาจมีสถาปัตยกรรมบางประเภทที่เคลื่อนไหวได้ เพราะลอยอยู่ในน้ำ
 เช่น แพ เป็นต้น
สถาปัตยกรรมประเภทนี้มีบริเวณว่างภายในที่เป็นประโยชน์สำหรับมนุษย์ ซึ่งบางที เราอาจจะต้องทำความเข้าใจ
ร่วมกันเกี่ยวกับความหมายของคำว่าสถาปัตยกรรมใหม่ เพราะเหตุว่าการออกแบบรถที่มนุษย์สามารถเข้าไป
อยู่อาศัยได้หรือการออกแบบสิ่งใหม่ๆ เช่น เครื่องบิน ยานอวกาศ สิ่งเหล่านี้จะถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมด้วยได้
หรือไม่
         อย่างไรดี คำว่าสถาปัตยกรรมในหน่วยการเรียนรู้นี้จะจำกัดเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนพื้นดินเท่านั้น
 สำหรับสิ่งก่อสร้างหรือการออกแบบที่เคลื่อนไหวได้ไม่อยู่ในขอบข่ายที่นำมาพิจารณา เพราะจะมีเนื้อหาลึกเกิน
ขอบข่ายความนิยมชื่นชมทางศิลปะสำหรับสถาปัตยกรรมบนพื้นดินมีแนวทางในการนิยมชื่นชมที่สำคัญคือ
1. ความงามของรูปทรงภายนอกและบริเวณว่างที่เป็นประโยชน์ภายใน
2. ความงามของวัสดุที่นำมาผสมผสานกันโดยวัสดุเหล่านั้นยังคงแสดงคุณค่าของตัวมันเอง
3. ความงามของการตกแต่งหรือการแสดงออกที่เรียบง่าย
4. ความงามที่แสดงเอกลักษณ์ของสังคมนั้นๆ

           สถาปัตยกรรมที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยได้ นอกจากคำนึงถึงบริเวณภายในแล้ว ยังต้องคำนึงถึง

สภาพแวดล้อมเช่น การจัดสรร เป็นต้น



หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

สาระการเรียนรู้ช่วงสั้น
1. คิดริเริ่มดัดแปลงใช้ทัศนธาตุ และองค์ประกอบทัศนศิลป์
2. เทคนิควิธีการรูปแบบใหม่ๆ ในการสร้างงานทัศนศิลป์

จุดเน้น
           คิดริเริ่มดัดแปลงใช้ทัศนธาตุ และองค์ประกอบทัศนศิลป์

รายละเอียดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

ขอบข่ายสาระการเรียนรู้

กระบวนการสร้างสรรค์งานพาณิชยศิลป์
1. การเขียนภาพสเกตช์
2. การเขียนตัวอักษรและลวดลายในงานพาณิชยศิลป์

ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
           คิดริเริ่มดัดแปลงใช้ทัศนธาตุ และองค์ประกอบศิลป์ เทคนิค วิธีการรูปแบบใหม่ๆ

 ในการสร้างงานทัศนศิลป์ ตามความถนัดและความสนใจ


1. การเขียนภาพสเกตซ์ (Sketches)


           เป็นลักษณะการเขียนภาพร่างหยาบๆ เพื่อกำหนดโครงสร้างขนาดสัดส่วนคร่าวๆ 
ของการเขียนภาพทุกชนิด เช่นการเขียนภาพสเกตช์หุ่นนิ่ง ภาพสเกตช์ทิวทัศน์ ภาพสเกตช์คนเหมือน
 ภาพสเกตช์งานออกแบบตกแต่ง เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการเขียนภาพสเกตช์งานพาณิชยศิลป์เท่านั้น
ประโยชน์และคุณค่าของการเขียนภาพสเกตช์
1. ทำให้เกิดความฉับไว้ คล่องตัวในการร่างภาพ
2. ทำให้เกิดความแม่นยำในเรื่องขนาด สัดส่วน
3. ทำให้การจัดองค์ประกอบภาพทำได้ง่ายขึ้น
4. นำไปสู่การเขียนรายละเอียดที่ถูกต้อง คมชัด
วิธีการเขียนภาพสเกตช์
มีวิธีการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ร่างเส้นรอบนอก (Out line) ของวัตถุที่มีอยู่ทั้งหมดของในภาพ หรือในแบบ
2. ร่างเส้นรอบนอกของวัตถุที่เด่นที่สุดในภาพ
3. เขียนเส้นรอบนอกของวัตถุทุกชิ้นที่มีอยู่ในภาพหรือในแบบ ลบเส้นรอบนอกแล้วเน้นขนาด สัดส่วน
 รายละเอียดความคมชัด

การวาดเส้นรายละเอียด (Drawing Detail)
           การวาดเส้นรายละเอียด เป็นการวาดเส้นที่เน้นความคมชัด แสดงรายเส้นที่เด็ดขาด ชัดเจน 
สวยงามให้อารมณ์ความรู้สึกเป็นสำคัญ อาศัยความประณีตบรรจง สุขุมเยือกเย็น และมีสมาธิสูง
 การวาดเส้นรายละเอียดมีขั้นตอนเหมือนกับการเขียนภาพสเกตซ์ หรือการเขียนภาพทั่วๆ ไป

                                  
           
   


                             ขั้นตอนที่ 1              
            ขีดเส้นดิ่ง ร่างโครงร่างภายนอก
ขั้นตอนที่ 2                      
เน้นเส้นเพื่อให้เกิดรูปทรง
ขั้นตอนที่ 3
เน้นน้ำหนัก แสงเงา ความคมชัด


การสเกตซ์ภาพหยาบ (Rough Sketches)
           สเกตซ์ภาพหยาบ เป็นการสเกตซ์ภาพแบบรวดเร็ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงรูปร่าง รูปทรงให้มากนัก
 แต่คำนึงถึงความคมชัดความสมดุล ความเด็ดขาด แม่นยำ และอารมณ์ความรู้สึกของเส้น
 รวมถึงการแสดงเรื่องราวได้อย่างกลมกลืน การสเกตซ์ภาพหยาบสามารถทำได้ทุกเวลาและสถานที่ 
แม้กระทั่งเวลาที่จำกัด นักเรียนก็สามารถทำได้ ขอเพียงให้มีความมั่นใจเท่านั้น

การตัดสินใจที่รวดเร็ว เป็นคุณสมบัติของการสเกตซ์ภาพแบบหยาบ


2. การเขียนตัวอักษรและลวดลายในงานพาณิชยศิลป์



ความหมาย           ตัวอักษร คือ สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารในทางสายตา (Visual)
ระหว่างมนุษย์ด้วยกันให้เข้าใจความหมายความต้องการของกันและกันได้

ประวัติความเป็นมา
           มนุษย์รู้จักเขียนและประดิษฐ์ตัวอักษรมานานนับพันปีในยุคแรกๆ จะมีลักษณะรูปแบบง่ายๆ 

ไม่ต้องมีความประณีตสวยงามและวิจิตรพิสดารแต่อย่างใด กาลเวลาผ่านไปตัวอักษรได้รับการพัฒนา
ไปตามความเปลี่ยนแปลงของการศึกษา เศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม มีความหลากหลาย แปลกใหม่ 
ประณีต สวยงามและวิจิตรพิสดาร จากการเขียนและการออกแบบด้วยมันสมองของมนุษย์ 
ก็พัฒนามาเป็นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยในการเขียนและออกแบบตัวอักษร ทำให้ได้รับความสะดวกสบาย 
รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมาก
หลักการเขียนตัวอักษรในงานพาณิชยศิลป์
           ตัวอักษรจะมีคุณค่าทางความงาม มีรูปแบบที่หลากหลายสามารถนำไปใช้กับงานพาณิชยศิลป์ได้
อย่างมีคุณค่า และได้รับประโยชน์สูงสุด มีหลักการดังนี้
           1. ขนาด (Size) หมายถึง ลักษณะของรูปที่กำหนด ขนาดตัวอักษรให้เหมาะกับเนื้อที่ เช่น ไม่เล็กเกินไป 
และไม่ใหญ่เกินไปจนคับที่
          

           2. สัดส่วน (Proportion) หมายถึง  ทรวดทรงของตัวอักษรที่เหมาะพอดีกับสัดส่วนในตัวอักษร
ของมันเอง ได้แก่ ส่วนสูงที่มีความสัมพันธ์กับส่วนกว้าง เช่น ตัวอักษรไม่อ้วนเตี้ย และไม่ผอมสูงเกินไป 
จนเป็นเหตุให้ขัดกับความรู้สึกแก่ผู้พบเห็น
           3. ระยะช่องไฟ (Space) หมายถึง ระยะห่างหรือระยะถี่ระหว่างตัวอักษรแต่ละตัว ตัวอักษรจะดูดี  

มีความเป็นระเบียบและสวยงาม ควรวางระยะช่องไฟไม่ให้ถี่หรือห่างเกินไป มีระยะที่สม่ำเสมอ 
เหมาะสมกับงานพาณิชยศิลป์แต่ละชนิด
             
  
      ตัวอักษรที่ผอมเกินไป    ช่องไฟห่างเกินไป
  
      ตัวอักษรประเภทอ้วนเกินไป      ช่องไฟถี่เกินไป
  
       ตัวอักษรที่มีสัดส่วนที่ดี      ช่องไฟที่ดี
                                                        
         4. ความกลมกลืน (Harmony) หมายถึง การเข้ากันได้สนิท เข้ากันได้ดี ตัวอักษรจะมีคุณค่าทาง
ความงามและดึงดูดความสนใจได้ดี ควรเป็นตัวอักษรที่อยู่ในพวกเดียวกัน มีความสัมพันธ์กลมกลืน 
เช่น อักษรหัวกลมด้วยกัน ไม่ใช่มีหัวอักษรเหลี่ยมหรืออักษรหัวตัดมาปะปนกัน
  
  
      ตัวอักษรที่เข้าพวก กลมกลืน      ตัวอักษรไม่เข้าพวก ขัดแย้ง
  
    ตัวอักษรโค้งมน      ตัวอักษรเหลี่ยม
  
    ความกลมกลืนของตัวอักษร      ความกลมกลืนในรูปแบบและสีสัน


3. รูปแบบของตัวอักษร

 
รูปแบบของตัวอักษร มีมากมายหลายรูปแบบ
           1. ตัวอักษรแบบอาลักษณ์ คือ ตัวอักษรแบบคัดลายมือ ตัวบรรจง มีความประณีตสวยงาม 
สัญลักษณ์ความเป็นไทยเหมาะที่จะนำไปใช้กับงานเขียนบัตรอวยพร บัตรเชิญ เกียรติบัตร 
และประกาศนียบัตร เป็นต้น
          2. ตัวอักษรแบบหัวกลม คือ ตัวอักษรที่มีรูปแบบพื้นฐานอ่านง่าย สื่อความเข้าใจได้รวดเร็ว 
นิยมนำไปใช้กับงานของทางราชการ งานโฆษณาทั่วไป
           3. ตัวอักษรแบบริบบิ้น คือ ตัวอักษรที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงษ์ 
เป็นผู้ทรงออกแบบเป็นรูปแบบอักษรหัวตัด 45 องศา สามารถเขียนได้ด้วยปากกาสปีดบอล พู่กันแบน 
นิยมนำไปใช้ในงานออกแบบทั่วๆ ไป เช่น ป้ายชื่อสถานที่ราชการ บริษัท ห้างร้าน และงานโฆษณา
             
 
           
    
       
     ตัวอักษรแบบหัวกลม      ตัวอักษรริบบิ้นธรรมดา
      
     
    
      
       ตัวอักษรแบบอาลักษณ์      ตัวอักษรริบบิ้น คลาสิก

4. ตัวอักษรแบบประดิษฐ์ คือ ตัวอักษรที่สร้างสรรค์ได้หลากหลายไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับความต้องการ
ของผู้สร้างสรรค์มีทั้ง มิติ และ มิติ นิยมนำไปใช้ในงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ เช่น โฆษณาสินค้า
 โฆษณาบ้านจัดสรร โฆษณาหาเสียงโฆษณารณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ข้อความ หัวเรื่องและภาพประกอบ 
เป็นต้น
 
 
     แบบเรียบง่าย มิติ     แบบมั่นคง มิติ
 
 
      อักษรประดิษฐ์ที่มีความอ่อนช้อย      โฆษณาสินค้า

การเขียนอักษรภาษาอังกฤษ
           การเขียนอักษรภาษาอังกฤษ ใช้หลักการเดียวกันกับการเขียนอักษรภาษาไทย คือ มีขนาด 
สัดส่วน ระยะช่องไฟความกลมกลืน และมีรูปแบบที่หลากหลาย ความแปลกใหม่สวยสะดุดตา

             
                                                     การเขียนอักษรภาษาอังกฤษในเชิงพาณิชยศิลป์


4. ลวดลาย (Pattern)

         ลวดลาย หมายถึง ลายเส้นและสีสันที่มีการประดิษฐ์สร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่าทางความงาม 
และนำไปใช้ประดับตกแต่งในงานศิลปะประเภทต่างๆ ทั้งในงานทัศนศิลป์ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม 
สถาปัตยกรรม และงานศิลปะประยุกต์เช่น ออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบตกแต่ง ออกแบบนิเทศศิลป์
 และออกแบบพาณิชยศิลป์
           รูปแบบลวดลายในธรรมชาติของพืช สัตว์ แมลง ปรากฏการณ์จากธรรมชาติเหล่านี้ 

เป็นสิ่งบันดาลใจให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการที่หลากหลายไม่มีที่สิ้นสุดต่อไปนี่
เป็นรูปแบบลวดลายในธรรมชาติที่เราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเองได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจากธรรมชาติจริงๆ

1. ลวดลายในพืช ได้แก่ ลวดลายในดอกไม้ ลวดลายในใบไม้ ลวดลายในเปลือกไม้
2. ลวดลายในแมลง ได้แก่ ลวดลายในปีก ส่วนหัว ดวงตา และลำตัวของแมลง เป็นต้น
3. ลวดลายในสัตว์ ได้แก่ ลวดลายในตัวสัตว์ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน
4. ลวดลายที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฝนตก ลวดลายของพื้นดินแตกระแหง

 เป็นต้น
5. ลวดลายจากรูปทรงเรขาคณิต ได้แก่ ลวดลายรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ครึ่งวงกลม เป็นต้น
6. ลวดลายในพาณิชยศิลป์ ปรากฏในงานโฆษณาหลายรูปแบบ มีทั้งที่ประกอบในตัวผลิตภัณฑ์สินค้า 

เครื่องหมาย การค้า ลวดลายประกอบตัวอักษร ลวดลายปรากฏในแผ่นภาพส่วนที่เป็นพื้นฉากไม่ว่าส่วนใด
ก็ตามจะต้องจัดวางตำแหน่งให้ถูกต้องตามหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์
 
 
     ลวดลายปลาดาว     ลวดลายที่เกิดขึ้นจากประจุไฟฟ้าในอากาศ
 
 
      ตัวอักษรแบบอาลักษณ์   ลวดลายที่เกิดขึ้นจากพื้นดินแตกระแหง
 
    ลวดลายจากรูปทรงเรขาคณิต

การเขียนภาพระบายสีในงานพาณิชยศิลป์
           การเขียนภาพระบายสี หมายถึง การใช้สีหยด สลัด ระบายแต้มลงในภาพร่างบนพื้นระนาบ 
สร้างสรรค์ให้เกิดเป็นภาพระบายสีโดยเน้นความงาม ความประสานสัมพันธ์กลมกลืนของสี แสง เงา
 และบรรยากาศเหมือนจริงเป็นสำคัญขั้นตอนที่ละขั้น (Step by Step) ในการเขียนภาพ
 ระบายสีภาพผลิตภัณฑ์สิ้นค้าชนิดต่างๆ ขั้นที่ ร่างภาพแล้วลงสีอ่อนเพื่อกำหนดแสงเงา 
ขั้นที่ ลงสีแสงเงาระยะกลาง ขั้นที่ ลงสีเงา เน้นรายละเอียด ความคมชัด และบรรยากาศของภาพ



 ขั้นที่ 1                                    ขั้นที่ 2                                    ขั้นที่ 3





 ขั้นที่ 1                                     ขั้นที่ 2                                  ขั้นที่ 3



5. การเขียนภาพระบายสีในงานพาณิชยศิลป์


1. การระบายด้วยสีน้ำ
           สีน้ำเป็นสื่อวัสดุ นำไปใช้ในการระบายสีที่มีคุณสมบัติเด่นๆ ประการ คือ

           1.1 ลักษณะโปร่งใส เมื่อนำสีน้ำระบายบนกระดาษสีขาว สีจะสะอาดไม่หนาทึบ มีลักษณะโปร่งใส 

ไม่ควรระบายทับกันหลายครั้ง จะทำให้สีช้ำ หม่น ทึบแสง ควรระบายสีอ่อนก่อน แล้วจึงลงสีกลาง 
และสีเข้มตามลำดับ การทำให้สีน้ำเกิดความอ่อนแก่ต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลางผสมให้เกิดการเจือจาง 
ไม่ควรใช้สีขาวจะทำให้ทึบแสง
           1.2 ลักษณะเปียกชุ่ม คุณค่าทางความงามขิงภาพสีน้ำก็คือความเปียกชุ่ม ซึ่งเป็นเทคนิคการระบาย

เปียกบนเปียก
           1.3 คุณสมบัติแห้งเร็ว เมื่อเทียบกับสีน้ำมัน ดังนั้น ควรมีการตัดสินใจที่ค่อนข้างรวดเร็วและ

มั่นใจในการระบายสีน้ำ
           1.4 สีน้ำมีคุณภาพรุกรานและยอมรับ หมายถึง สีน้ำเมื่อถูกผสมน้ำและระบายบนพื้นกระดาษ 

สีน้ำจะไหลซึมไปผสมกับสีอื่นที่ระบายลงไปก่อนแล้ว แล้วที่ระบายลงไปก่อนก็ยอมให้ผสมกลมกลืน
แต่โดยดี เป็นคุณสมบัติเด่นในคุณค่าของสีน้ำ
   




การนำสีน้ำไปเขียนภาพระบายสีในงานพาณิชยศิลป์ เนื่องจากสีน้ำมีคุณสมบัติโปร่งใส จึงสามารถระบาย
ทับรอยเส้นหรืออาจว่างเว้นบางส่วนได้ตามต้องการ




2. การระบายด้วยสีโปสเตอร์

           สีโปสเตอร์เป็นสื่อวัสดุที่นำไปใช้ในการระบายสี มีคุณสมบัติทึบแสงสามารถระบายทับกันได้

หลายครั้ง ทำให้สีเข้มเป็นสีอ่อน หรือสีแสงสว่างได้ โดยใช้สีขาวผสม เหมาะที่จะนำไปใช้ใน
งานออกแบบและสีโปสเตอร์โฆษณาประชาสัมพันธ์




การนำสีโปสเตอร์ไปเขียนภาพระบายสีในงานพาณิชยศิลป์



การใช้สีดินสอ สีชอล์ก และสีอะคริลิก ในการเขียนภาพระบายสีงานพาณิชยศิลป์






การระบายผสมระหว่างสีอะคริลิกกับสีชอล์ก


          งานพาณิชยศิลป์ หากสังเกตให้ดี องค์ประกอบที่สำคัญในการออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
ของสินค้าและวัตถุประสงค์ของงาน นอกจากคำนึงถึงความเหมาะสมแล้วจะต้องให้เกิดความสวยงาม 
มีความชัดเจน เพื่อให้ผู้คนพบเห็นเข้าใจง่ายนั่นคือ การออกแบบตัวอักษร การเลือกใช้สี ใช้ถ้อยคำ
 และลวดลายประกอบภาพที่เด่นสะดุดตา จึงจัดเป็นภาพที่มีคุณภาพ

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3

จุดประสงค์การเรียนรู้
กระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะ
ใช้กระบวนการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ ประยุกต์ใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
และมีความรับผิดชอบ
สาระการเรียนรู้ช่วงสั้น
1. กระบวนการสร้างสรรค์ทัศนศิลป์
2. การประยุกต์การใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยี
จุดเน้น
ใช้กระบวนและการประยุกต์ใช้สื่อเทคโนโลยีในการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์
รายละเอียดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3

ขอบข่ายสาระการเรียนรู้
1. การรับรู้
2. ประสบการณ์
3. จินตนาการ

การสร้างสรรค์ภาพที่ไม่แสดงรูปแบบ
1. การสร้างสรรค์ด้วยสี
2. การลดทอนภาพไม่ให้เหมือนจริง
การสร้างสรรค์ภาพที่แสดงรูปแบบ
1. การเขียนภาพคน
2. การเขียนภาพสิ่งแวดล้อม
3. การเขียนภาพการดำเนินชีวิตสังคมและภาพจินตนาการ
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
ใช้กระบวนการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์และประยุกต์ใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม 
และมีความรับผิดชอบ




1. กระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะ

การสร้างสรรค์งานศิลปะ มีกระบวนการหรือขั้นตอนตามลำดับ โดยเริ่มต้นจากการเรียนรู้ 
หรือสัมผัสกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อม นำมาสู่การสร้างประสบการณ์ 
หรือความชำนาญแล้วจึงเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานศิลปะที่แปลกใหม่ต่อไป 
ซึ่งมีขั้นตอนในขั้นรายละเอียดดังนี้
1. การรับรู้ (Perception)
           การรับรู้ หมายถึง การที่มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสด้านต่างๆ รับรู้และชื่นชมในธรรมชาติ 
และสภาพแวดล้อมรอบตัว ได้แก่การสัมผัสรอบรู้ด้วยประสาทตาในการมองเห็นความงามของธรรมชาติ 
และการสัมผัสด้วยประสาทหู ในการยินเสียงจากธรรมชาติ หรือจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภาพและเสียงเหล่านี้
เป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์สร้างสรรค์งานศิลปะ เช่น เขียนภาพบันทึกความงามและความรู้สึกจากธรรมชาติ
 แต่งเพลงหรืบรรเลงเพลงดนตรี บรรยายความงามของธรรมชาติ หรือเลียนเสียงธรรมชาติ เป็นต้น
2. ประสบการณ์ (Experience)
           ประสบการณ์ หมายถึง การที่มนุษย์ผ่านภาวการณ์รับรู้ ได้เห็น ได้ฟัง และได้ปฏิบัติด้วยตนเองมาแล้ว
บ่อยครั้งจนสะสมเป็นประสบการณ์และความชำนาญ เช่น ศิลปินที่มีใจรักและชื่นชมความงามของธรรมชาติ
มักจะเข้าไปสัมผัสชื่นชมกับความงามของธรรมชาติเหล่านั้น และนิยมถ่ายทอดความงามด้วยการเขียนภาพ
 จึงเกิดประสบการณ์และความชำนาญในการเขียนภาพธรรมชาติเป็นพิเศษนักเรียนที่เรียนวิชาศิลปะทุกคน 
สามารถที่สร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์จากชีวิตประจำวันของตนได้อย่างมี
อิสระโดยไม่ต้องคำนึงถึงทักษะฝีมือมากนัก หากแต่การที่นักเรียนสามารถเขียนภาพบันทึกประสบการณ์

อย่างตรงไปตรงมาได้นั้น คือ ความงดงามที่มีคุณค่ายิ่งนัก
3. จินตนาการ (Imagination)
           จินตนาการ หมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจก่อนที่จะสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานศิลปะ 
โดยมีพื้นฐานมาจากการได้สัมผัสรับรู้ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม จนเกิดแรงบันดาลใจใน
การสร้างสรรค์งานศิลปะ สะสมเป็นประสบการณ์และความชำนาญ ขยายผลเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะ
ด้วยการจิตนาการ มิใช่เป็นการถ่ายทอดจากประสบการณ์และจากสิงที่ตามองเห็นเท่านั้น แต่เป็นการแสดง
ออกจากภายในสู่ภายนอก สะท้อนความคิดสร้างสรรค์อิสระและหลากหลาย




2. การสร้างสรรค์ภาพที่ไม่แสดงรูปแบบ

      ภาพที่ไม่แสดงรูปแบบ หมายถึง ภาพที่ไม่คำนึงถึงรูปลักษณะที่ปรากฏแก่สายตาว่าเป็นภาพอะไร 
แต่จะให้ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้เขียนด้วยการใช้เส้น สี รูปร่าง รูปทรง ผสมผสานกันเป็นเรื่องราวหรือ
ไม่เป็นรูปร่างก็ได้ เช่น การสร้างสรรค์ด้วยสี การหยด การแต้ม การเขียนภาพตามจังหวะดนตรี 
และการเขียนภาพตามจินตนาการ เป็นต้น

ภาพที่ไม่แสดงรูปแบบ สามรถสร้างสรรค์ได้ ลักษณะ คือ
1. การสร้างสรรค์ด้วยสี
2. การลดทอนภาพไม่ให้เหมือนจริง

1. การสร้างสรรค์ด้วยสี
           การสร้างสรรค์ด้วยสี หมายถึง การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแสดงออกเกี่ยวกับการใช้สีอย่างอิสระ 
ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ เช่น วิธีการขูด เขียน ถูเป็นเส้นหรือริ้วรอย ผสมผสานกับสีที่หยดหรือแต้มลงไป 
ทั้งนี้ เน้นวิธีการสร้างสรรค์และการแสดงออกอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินโดยไม่คำนึงว่าจะ
ได้ภาพที่เป็นรูปลักษณะใด
2. การลดทอนภาพไม่ให้เหมือนจริง
           การลดทอนภาพไม่ให้เหมือนจริง หมายถึงการนำภาพเหมือนจริงมาลดทอน 
างส่วนของภาพให้น้อยลง มีรูปร่างแตกต่างไปจากเดิม และมีความเป็นอิสระในการระบายสีเชิงสร้างสรรค์ได้มากขึ้นวิธีการลดทอนภาพไม่ให้เหมือนจริง มีดังนี้
           1) วิธีการลดทอนด้วยการเปลี่ยนสีใหม่ คือ เปลี่ยนสีในรูปร่าง รูปทรงเดิม ให้แตกต่าง
ไปจากของจริงตามแนวเบื้องต้นทำให้ภาพเหมือนจริงแปรสภาพไปเป็นการใช้สีอย่างสร้างสรรค์ 
แสดงการลดทอนด้วยการเปลี่ยนสีใหม่
           2) การลดทอนภาพด้วยการใช้เส้นและสีเปลี่ยนรูปทรงเดิม หมายถึง การใช้เส้นและสีมาสร้างสรรค์

ตามสัดส่วนของภาพเหมือนจริง เช่น ลากเส้นจากรูปทรงเดิมอย่างอิสระแล้วระบายสีหรือประจุดด้วย
สีให้มีน้ำหนักแตกต่างไปจากภาพเดิม จะเป็นการลดทอนภาพได้อีกวิธีหนึ่ง
          3) การลดทอนภาพด้วยการลดรูปทรงและรายละเอียด หมายถึง การลดทอนรูปภาพจากของจริง

 โดยตัดทอนรายละเอียดให้เหลือส่วนที่สำคัญไว้เท่านั้น วิธีง่ายๆ อาจใช้เส้นร่างวาดทับรูปภายนอก
 ให้เหลือเส้นรอบนอก (Outline) หรือ รูปร่าง (Shape)ลดทอนรูปทรงให้เหลือเฉพาะส่วนที่สำคัญ 
คือ จุดเด่นของภาพ โดยนำมาจัดวางใหม่
           นอกจากนี้ที่กล่าวมาแล้วเรายังลดทอนภาพไม่ให้เหมือนจริงได้ในอีกหลายวิธี



3. การสร้างสรรค์ภาพที่แสดงรูปแบบ

ภาพที่แสดงรูปแบบ หมายถึง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเหมือนจริงตามที่เรามองเห็นภาพวัตถุนั้นๆ 
ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของรูปร่าง รูปทรงเป็นอย่างไร ผู้เขียนภาพ สามารถถ่ายทอดออกมาได้เหมือนแบบ 
โดยแสดงรูปร่างรูปทรงที่แน่นอนเหมือนจริง และจะต้องคำนึงถึงความงามด้วย
ลักษณะภาพแสดงรูปแบบ มีดังนี้

           1. การเขียนภาพคน
           2. การเขียนภาพสิ่งแวดล้อม
           3. การเขียนภาพการดำเนินชีวิตในสังคมและภาพจินตนาการ

1. การเขียนภาพคน
           โครงสร้างของคนประกอบด้วยส่วนต่างๆ เช่น ศีรษะ ลำตัว แขน และขา เป็นต้น แต่ละส่วนยังแยกย่อย
ออกไปได้อีกซึ่งจัดเป็นส่วนประกอบของภาพคน คือ คน หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า คอ สะโพก เป็นต้น 
เมื่อนำเอาส่วนประกอบซึ่งเรียกอีกอย่างว่าอวัยวะต่างๆ มาประกอบกันเข้าจะเกิดเป็นรูปร่างรูปทรงขึ้น 
การเขียนภาพโครงสร้างของคนจะต้องคำนึงถึง สัดส่วน การทรงตัวลีลา ท่าทาง การเคลื่อนไหว 
ซึงเป็นลักษณะสำคัญที่จะทำให้ภาพสมบูรณ์เหมือนจริง ขั้นตอนการเขียนภาพจะต้องคำนึงวิธีการดังนี้

           1.1 การเขียนส่วนต่างๆ ของภาพคน คือ การเขียนภาพอวัยวะของร่างกายแต่ละส่วน ก่อนที่จะเขียนภาพ

คนทั้งส่วน เช่นส่วนของหน้ามีหู ตา จมูก ปาก ส่วนของลำตัวมีหน้าอก สะโพก ส่วนของขามีเท้า
 ส่วนของแขนมีมือ เป็นต้น

           1.2 การเขียนภาพคน คือ การร่างภาพของคนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน แล้วจึงเติมอวัยวะต่างๆ ที่เป็น

รายละเอียดให้สมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนเป็นขั้นตอน อาจใช้วิธีการง่ายๆ เป็นการร่างโครงสร้าง
คนแบบหัวก้านไม้ขีด เพียงแต่ให้ทรงตัวได้ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเติมรายละเอียดทีหลัง 
การเขียนภาพคนเป็นสิ่งยาก
เนื่องจากคนมีกี่เคลื่อนไหว ลีลา ท่าทางต่างๆ เช่น เดิน วิ่ง ยืน นั่ง นอน เป็นต้น
           การเขียนภาพคนมี ลักษณะ คือ
           1. การเขียนภาพคนครึ่งตัว คือ การเขียนภาพคนเหมือน (Portrait) เน้นความเหมือนจริงที่ใบหน้า
           2. การเขียนภาพคนเต็มตัว คือ การเขียนภาพคนทั้งตัว (Figure) เน้นลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหว

ด้วยลีลาที่งดงามโครงสร้างของภาพคนมีความสำคัญไม่น้อย เพราะช่วยในเรื่องของการทรงตัวขณะ
เคลื่อนไหว หรือขณะยืนอยู่กับที่ให้มีลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง
           การเคลื่อนไหวของภาพคน จะเกิดขึ้นได้โดยการเปลี่ยนแปลงของขาและแขน ซึ่งเป็นส่วนของข้อต่อ 
และกล้ามเนื้อทำหน้าที่เหยียด งอ หุบได้ ถ้าคนยืนตรงน้ำหนักของร่างกายทั้งหมดจะลงอยู่ที่ขาอย่างเดียว
เท่านั้น ในท่าเดินและท่าวิ่ง การโยกย้ายน้ำหนักของร่างกาย ให้สังเกตที่แขนและขาจะเคลื่อนไหวในทิศทาง
ที่ตรงกันข้ามกัน เช่น แขนขวาแกว่งไปด้านหน้า ขาขวาและเท้าจะอยู่ด้านหลัง ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้


    
 


2.การเขียนภาพสิ่งแวดล้อม
           การเขียนภาพสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเขียนสภาพทั่วไปที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ภูเขา ต้นไม้ สัตว์ 
แม่น้ำ และทะเลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติและอีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น บ้าน อาคาร 
ถนน รถยนต์ สิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่พบเห็นเป็นประจำ จึงเป็นที่มาของ
การเขียนภาพทิวทัศน์บก ทิวทัศน์ทะเลภาพสิ่งก่อสร้าง และภาพสิ่งแวดล้อมของสังคม
           การเขียนภาพทิวทัศน์ ควรประกอบ ควรประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้
           1. เส้นระดับสายตา (Horizontal Line) หรือเรียกว่าเส้นขอบฟ้า เป็นเส้นแนวนอนกั้นระหว่างพื้นดิน
กับขอบฟ้า เป็นการกำหนดเส้นระดับสายตาเพื่อวางแผนการเขียนภาพว่าต้องการแสดงส่วนใดมากกว่า
 เช่น ต้องการให้เห็นพื้นดินมากกว่าท้องฟ้าหรือให้เห็นภาพท้องฟ้ามากกว่าพื้นดิน

           2. ระยะ (Distance) เป็นภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในระยะใกล้จนถึงระยะไกล ซึ่งผู้เขียนต้องการแสดง

ระยะในภาพแบ่งได้เป็น ระยะ คือ ระยะใกล้ ระยะกลาง ระยะไกล ภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในระยะใกล้
ตัวผู้เขียนจะมีขนากใหญ่ สี รูปทรง แสงเงาจะชัดเจน ส่วนภาพที่อยู่ห่างไกลออกไปสีและรูปทรงจะค่อยๆ 
เบาบางและจางลง สีจะเข้ากับบรรยากาศของท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังถือเป็นไกลที่สุด

           3. จุดรวมสายตา (Vanishing Point) หมายถึง แนวสายตาจากวัตถุไปสู่จุดใดจุดหนึ่งบนเส้นระดับ

สายตา ทำให้วัตถุหรือสิ่งแวดล้อมที่เขียนเกิดระยะต่างกัน การเขียนจุดรวมสายตามี หรือ จุดก็ได้
 การเขียนภาพทิวทัศน์ในที่โล่งแจ้ง มองภาพกว้างไกลจะทำให้การจัดภาพเกิดความยุ่งยาก จึงมีวิธีที่จะกำหนด
ได้ง่ายๆคือ ตัดกระดาษเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 15x18 ซม. แล้วตัดแยกออกเป็นรูปตัว L (แอล) 
ทั้งสองด้านนำมาประสานกัน ให้เหลือขนาด 10x13 ซม. โดยเจาะเป็นช่องอีก ช่อง เท่าๆ กัน โดยเจาะ
เป็นรูสำหรับมองทิวทัศน์ข้างหน้า เพื่อนำมาจำลองในการวาดภาพต่อไป วิธีนี้จะช่วยหามุมมอง
การเขียนภาพทิวทัศน์ได้ง่ายขึ้น คือ กำหนดให้มีจุดเด่น จุดรอง และความสมดุลของภาพผู้เขียนควรรู้จัก
ดัดแปลงภาพให้มีส่วนประกอบอื่นเพิ่มขึ้นได้ หรือตัดทอนบางส่วนที่ยุ่งยากออกไปเพื่อให้เกิดความสมดุล
ความเหมาะสม ทั้งนี่เพื่อต้องการให้ภาพมีความสวยงาม
3. การเขียนภาพการดำเนินชีวิตในสังคมและภาพจิตนาการ
           การเขียนภาพการดำเนินชีวิตในสังคมและจินตนาการภาพ คือ การเขียนภาพจากเหตุการณ์ 
หรือกิจกรรมที่ปรากฏในสังคม เช่น การเขียนภาพจากเหตุการณ์ หรือกิจกรรมในสังคม เช่น ภาพชีวิตความ
เป็นอยู่ในสังคม ภาพเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา และภาพสร้างสรรค์ขึ้นมาจากจินตนาการ 
ภาพเหล่านั้นอาจเป็นจริงหรือเกินความเป็นจริงก็ได้ การเขียนภาพจะต้องคำนึงถึงการจัดภาพเป็นหลักว่า
ส่วนใดเป็นจุดเด่น และส่วนรอง และตามความสำคัญของเนื้อเรื่อง

           การเขียนภาพการดำเนินชีวิตในสังคมและภาพจินตนาการมี ดังนี้

           1) การเขียนภาพจากความทรงจำ หมายถึง การสร้างจินตนาการจากเหตุการณ์ สถานการณ์ หรือนิยาย 

ซึ่งมีเค้าเรื่องเป็นความจริง ส่งเสริมให้เห็นความประทับใจ ซาบซึ้งในคุณค่าและคุณธรรมต่างๆ ตัวอย่าง
 เช่น ครอบครัวของฉัน มาร่วมกันพัฒนาโรงเรียน ครั้งหนึ่งในชีวิต การส่งเสริมอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น
           2) การเขียนภาพการดำเนินชีวิตในสังคม หมายถึง การถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมออกมาเป็น
รูปภาพตามความเป็นจริงของชุมชนในสังคม เช่น อาชีพ การปกครอง โรงเรียนของเรา บ้านของฉัน เป็นต้น
           3) การเขียนภาพจากขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา และวัฒนธรรม หมายถึง การถ่ายทอดภาพ 
ขนบธรรมเนียมประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นที่เคยประสบ 
เช่น วันสำคัญทางศาสนา ประเพณีต่างๆ การเขียนภาพแบบศิลปะประจำชาติ เป็นต้น
   
 

      4) การเขียนภาพจากจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การเขียนภาพที่ใช้ความคิดให้แปลก
ไปจากเดิมเป็นเรื่องใหม่ๆ ซึ่งอาจมีจริงหรืออาจเกินความเป็นจริงก็ได้ ทั้งนี้ ควรเป็นความคิดอย่างอิสระ
ของแต่ละบุคคล การเขียนภาพเหล่านี้ต้องอาศัยธรรมชาติเป็นแนวทางก่อน แล้วค่อยดัดแปลงให้แปลกตา
ท้าทายความรู้สึกของผู้ดู เช่น การผจญภัยในต่างพิภพ ท่องเที่ยวไปในโลกดาวอังคาร โทษภัยของยาเสพติด
 เป็นต้น



แบบฝึกหัด
1.  ข้อใดคือ Perspective แบบ  Two  Point
1.                                                                           2.




3.                                                                           4.





                                    5.  





2.  สีในข้อใดที่ให้ความรู้สึกเย็น สงบ สบาย
1.   เหลือง  ส้มเหลือง  เขียวเหลือง
2.   เหลือง  เขียว  ส้ม
3.   เหลือง  เขียวเหลือง  เขียว
4.   เหลือง  ส้ม  ม่วง
5.   เหลือง  ฟ้า น้ำเงิน

3.  ทัศนธาตุ ( Visual Element ) ในข้อใดมี   มิติ
1.   Point
2.   Line
     3.   Shape
4.   Form
5.   Tone
4ถ้าต้องการเขียนภาพให้รู้สึกรุนแรง  อันตราย  ความน่าสะพรึงกลัวควรเลือกใช้เส้น ประเภทใด
1.   เส้นตรง + เส้นนอน
3.   เส้นประ + เส้นตรง
4.   เส้นหยัก + เส้นซิกแซก
5.   เส้นหยัก + เส้นตรง
5.  สีในข้อใดเหมาะสำหรับการเขียนลงบน Canvas
1.   สีอะคริลิค  สีน้ำมัน
2.   สีชอล์ก  สีฝุ่น
3.   สีน้ำ  สีโปสเตอร์
4.   สีโปสเตอร์  สีฝุ่น
5.   สีฝุ่น  สีผสมอาหาร
6.  ข้อใดแสดงรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมร่วมสมัย
1.  วัดอรุณราชวราราม  จังหวัดกรุงเทพมหานคร
2.  วัดพระปรางค์สามยอด  จังหวัดลพบุรี
3.  วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  จังหวัดพิษณุโลก 
4.  วัดร่องขุ่น  จังหวัดเชียงราย
5.  วัดพระธาตุช่อแฮ   จังหวัดแพร่
7. เจริโคต์ (Gericault) มีผลงานภาพ การอับปางของเรือเมดูซา (Raft of the Medusa)   เป็นศิลปินของลัทธิใด
ต่อไปนี้
1.   Neo - Impressionism
2.   Neo - Plasticism
3.   Romanticism
4.   Cubism
5.   Baroque
8.   ถ้าต้องจะระบายสีเขียวในภาพทิวทัศน์ท้องทุ่งนา  ควรใช้สีใกล้เคียงสีคู่ใดที่ทำให้สีกลมกลืนมีมิติ
1.   สีเขียวเหลือ  สีน้ำเงิน
2.   สีเขียวเหลือง  สีเขียวน้ำเงิน
3.   สีสีเขียวน้ำเงิน  สีม่วง
4.   สีม่วง  สีน้ำเงิน
5.   สีน้ำเงิน  สีม่วงน้ำเงิน
9.   ข้อใดต่อไปนี้เรียงลำดับขั้นตอนการเขียนภาพจากของจริงได้ถูกต้อง
1.   การหามุมมองของภาพ/การร่างภาพ/การแรเงา
2.   การหามุมมองของภาพ/การแรเงา/การร่างภาพ
3.   การแรเงา/การหามุมมองของภาพ/การร่างภาพ
4.   การร่างภาพ/การหามุมมองของภาพ/การแรเงา
5.   การแรเงา/ การร่างภาพ/การหามุมมองของภาพ
10.  ให้นักเรียนพิจารณาว่าข้อความใดเป็นการวิจารณ์ตามขั้นตอนการพรรณนาผลงาน
1.   ผลงานมีการใช้ทักษะที่โดดเด่นเฉพาะตัวของศิลปิน
2.   ผลงานสร้างสรรค์แบบลัทธิประทับใจถ่ายทอดรูปแบบเหมือนจริง
3.   ผลงานแสดงพื้นผิวหยาบให้อารมณ์สะเทือนใจ
4.   ผลงานแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาเป็นอากัปกิริยาของนักดนตรีที่กำลังดื่มด่ำกับดนตรี
5.  ผลงานมีสร้างสรรค์ฉากหลังเป็นทัศนียวิทยาเกิดขึ้นในยุคเรอเนสซองค์

11.  เมื่อต้องการจัดหมวดหมู่ ระนาดเอก กับ ปี่ชวา ให้เป็นประเภทของเครื่องดนตรีสากลน่าจะตรงกับ
เครื่องดนตรีสากลในข้อใด
1.   เปียโน กับ  กีตาร์                      
2.   ไวโอลิน กับ ทรอมโบน
3.   ไซโลโฟน กับ คลาริเนท
4.   ไทรแองเกิล กับ ฟลูท
  5.   โอโบ กับ รีคอร์เดอร์
12.   วงซิมโฟนีออเคสตรา เป็นวงดนตรีที่มีการประสมวงด้วยเครื่องดนตรีสากล อยากทราบว่า 
วงซิมโฟนีออเคสตรา เมื่อเปรียบเทียบกับวงดนตรีของไทยจะได้วงดนตรีไทยที่มีชื่อเรียกตามข้อใด
1.   วงปี่พาทย์เครื่องคู่                     
2.   วงมโหรีเครื่องคู่                 3.   วงวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่                           
4.   วงมโหรีเครื่องใหญ่             5.   วงเครื่องสายเครื่องใหญ่
13.   การขับร้องเพลงในข้อใดที่ไม่ถูกต้อง
1.   สมคิด ขับร้องเพลงโดยการหายใจเข้า ออก ทางปาก
2.   สมชาย ร้องเสียงสูงโดยการดันกระบังลมช่วยในการขับร้อง
3.   สมปอง ออกเสียงคำว่า ใจ โดยลงท้ายคำด้วยสระ อี
4.   สมหมาย หายใจเข้าแล้วยกไหล่ขึ้นเมื่อถึงช่วงร้องเสียงสูง
5.   สมใจ สร้างจิตนาการก่อนการร้องเพลงทุกครั้ง
14.   เมื่อต้องการบรรเลงเพลง ล่องแม่ปิง ขับร้องโดย สุนทรี   เวชานนท์ ด้วยเครื่องดนตรีสากล
 ควรจะฝึกบันไดเสียงในข้อใด จึงจะถูกต้อง
1.   บันไดเสียงไดอาโทนิกเมเจอร์                             
2.   บันไดเสียงฮาร์โมนิกไมเนอร์
3.   บันไดเสียงเมโลดิกไมเนอร์                                
4.   บันไดเสียงไมเนอร์ตามธรรมชาติ
5.   บันไดเสียงเพนทาทอนิก
15.   ข้อใด คือ การเก็บรักษาเครื่องดนตรีประเภทที่ทำด้วยไม้ก่อนและหลังเล่นได้ดีที่สุด
1.   นำผ้าแห้งเช็ดให้สะอาดทั้งด้านในและด้านนอก
2.   นำไปล้างน้ำให้สะอาด เพื่อล้างน้ำลายและฝุ่นละออง
3.   นำปากเป่าไปแช่น้ำผึ้ง เพื่อให้ไม้บริเวณปากเป่าขยายตัว
4.   ใช้ผ้าชุบแอลกอฮอล์เช็ดทั้งด้านนอกและด้านใน เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ติดต่อทางน้ำลาย
5.   นำไปตากแดดเพื่อให้ไม้เกิดการหดตัวเพื่อจะเป่าได้ง่ายขึ้น
16.   บทเพลงในข้อใดที่บ่งบอกถึงความงามของธรรมชาติได้ดีที่สุด
1.   เพลงโหมโรงจอมสุรางค์                       
2.   เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง
3.   เพลงลาวดวงเดือน                                
4.   เพลงค้างคาวกินกล้วย
5.   เพลงเสมอข้ามสมุทร
17.   ถ้าจะขับร้องเพลงเดือนเพ็ญ ควรถ่ายทอดอารมณ์อย่างไร
         1.   อารมณ์สิ้นหวัง หดหู่                             
         2.   อารมณ์สนุกสนาน สบายใจ         3.   อารมณ์ผิดหวัง และเสียดาย                 
4.   อารมณ์เหงา เพราะคิดถึงบ้าน      5.   อารมณ์ชื่นชม ยินดี
18.   การศึกษาเรื่องตัวโน้ตและเครื่องหมายที่ใช้ในบทเพลงมีประโยชน์อย่างไร
         1.   ทำให้เข้าใจจังหวะของบทเพลง และขับร้องหรือบรรเลงดนตรีได้ถูกต้อง
         2.   ทำให้เป็นนักร้องหรือนักบรรเลงดนตรีที่ดีมีคุณภาพ
         3.   ทำให้สามารถเข้าใจความหมายของบทเพลงได้ง่ายขึ้น
         4.   ทำให้ทราบประวัติ และความเป็นมาของบทเพลง
         5.   ทำให้เกิดอารมณ์และบรรยายเนื้อหาของเพลงได้ถูกต้อง
19.   ข้อใดเกี่ยวข้องกับดนตรีบำบัดมากที่สุด
1.   การนำดนตรีมาบรรเลงประกอบการออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมคุณภาพร่างกายให้แข็งแรง
2.   การนำดนตรีมาบำบัดให้กับผู้ด้อยโอกาสและผู้ยากไร้ฟังเพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง
3.   การนำดนตรีมารักษาโรคที่เกิดจากความบกพร่องทั้งทางกายและจิตใจ
4.   การนำดนตรีมาบรรเลงให้ผู้พิการฟังเพื่อคลายเครียด
5.   ไม่มีข้อใดถูก
20.   วงดนตรีในข้อใดเกิดขึ้น ก่อน-หลัง ตามลำดับได้ถูกต้อง
         1.   วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ วงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงปี่พาทย์เครื่องห้า
         2.   วงบรรเลงพิณ  วงขับไม้  วงวงดนตรีพิณพาทย์รามัญ
         3.   วงเครื่องสาย  วงเครื่องปี่พาทย์  วงมโหรี
         4.   วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ วงเครื่องสายผสม
         5.   วงขับไม้   วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์  วงเครื่องสายผสม
21.   ข้อใดแสดงให้เห็นถึงการเห็นคุณค่าและความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติน้อยที่สุด
1.   ปรีดามักจะดูแคลนพวกวิกลิเก
2.   ปิยะดาไม่อยากให้ใครรู้ว่ารำโนราได้
3.   ปานวาดรู้สึกอายทุกครั้งที่ต้องแสดงนาฏศิลป์ไทยให้คนอื่นชม
4.   ปาริชาติชอบดูนาฏศิลป์ไทยแบบราชสำนักเท่านั้น
5.   ปรียานุชไม่ชอบแต่งกายด้วยชุดไทย
22.   ข้อใดเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของนาฏศิลป์อันเป็น
วัฒนธรรมประจำชาติ
1.   ให้ทุนสนับสนุนแก่กลุ่มนิสิตนักศึกษาในการจัดค่ายอาสา “นาฏศิลป์ในถิ่นเกิด”
2.   ให้ทุนสนับสนุนการประกวดหางเครื่องลูกทุ่งคอนเทสต์แก่โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา
3.   เปิดสอนมวยไทยฟรีทุกวันอาทิตย์
4.   ให้นักเรียนสวมชุดไทยมาเรียนในทุกวันศุกร์
5.   จ้างคณะละครชาตรีมาทำการแสดงแก้บน

23.   การแสดงชุดใดเหมาะสมที่จะนำไปแสดงในงานฌาปนกิจศพ
1.   รำอวยพรสู่สรวงสวรรค์
2.   ระบำดาวดึงส์
3.   ระบำเทพทอง
4.   ระบำเทพนิมิตร
5.   ระบำเทพบันเทิง
24.   หากท่านได้รับมอบหมายให้จัดการแสดงละครที่มีแนวความคิดเกี่ยวกับความเสียสละและความรักชาติ 
ดังนั้นควรเลือกเรื่องใด
1.   พญาผานอง
2.   บางระจัน
3.   พันท้ายนรสิงห์
4.   พระร่วง
5.   ขุนช้างขุนแผน
25.   ในการจัดการแสดงระบำโคมบัวที่มีผู้แสดง 10 – 12 คนเพื่อให้การแสดงดังกล่าวเกิดความสวยงาม 
แปลกตา ชวนให้ติดตาม ควรใช้วิธีการใด
1.   เปลี่ยนรูปทรงโคมบัว
2.   มีการแปรแถวที่หลากหลาย
3.   เพิ่มรายละเอียดของเครื่องแต่งกาย
4.   เลือกใช้ท่ารำชั้นสูง
5.   แต่งหน้าผู้แสดงด้วยเครื่องสำอางค์ราคาแพง
26.   การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสานส่วนใหญ่ มีลักษณะการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไร
1.   เชื่องช้า นุ่มนวล เนิบนาบ
2.   รวดเร็ว กระฉับกระเฉง
3.   เชื่องช้า สลับกับรวดเร็ว
4.   นุ่มนวลสลับกับกระฉับกระเฉง
5.   ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
27.   ละครเรื่องใดที่นับเป็นการแสดงแบบโศกนาฏกรรม
1.   ซินเดอเรล่า
2.   โรมิโอ แอนด์ จูเลียต
3.   ปลาบู่ทอง
4.   โสนน้อยเรือนงาม                      5.   นางสิบสอง
28.  การฝึกฝนบัลเล่ต์สามารถแก้ไขข้อบกพร่องทางสรีระข้อใดได้บ้าง
1.   หลังค่อม
2.   ขาโก่ง
3.   ศีรษะเอียง
4.   เท้าบิดออกด้านนอก
5.   หน้าบึ้ง
29.   สิ่งใดที่ผู้วิจารณ์การแสดงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงในการวิจารณ์การแสดง
1.   การเล่าเรื่องย่อการแสดงนั้น ๆ
2.   วิธีการเดินทางไปสถานที่ที่ชมการแสดง
3.   มุมมองที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการนำเสนอสู่ผู้ชม
4.   ความสวยงามของแสงสีประกอบการแสดง
5.  บุคลิกหน้าตาของนักแสดง
30.   มารยาทในการชมการแสดงที่ดีคือข้อใด
1.   พูดคุยถึงการแสดงฉากต่างๆ เรื่องราวของการแสดงนั้นๆให้กับเพื่อนที่ชมด้วยกัน
ฟังตลอดเวลา
2.   พยายามอ่านสูจิบัตรการแสดงในเวลาชมการแสดงเพื่อให้เข้าใจเรื่องราว
3.   ปิดเสียงโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ และไม่รับโทรศัพท์เด็ดขาดระหว่าง
ชมการแสดง
4.   ลุกไปเข้าห้องน้ำระหว่างที่การแสดงอยู่ในช่วงที่ไม่สำคัญ

5.   แต่งกายด้วยชุดที่ดูหรูหรา  ราคาแพง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น